ครูและบุคลากร

อภินทร์พร กิตติพีรพัฒน์
(ครูอ้วน)
ผู้อำนวยการศูนย์การเรียนดุลยพัฒน์
บางครั้งเส้นทางชีวิตเริ่มต้นจากความเชื่อเล็ก ๆ ที่เติบโตในใจ — สำหรับครูอ้วน คือ “การศึกษาที่ช่วยให้เด็กเติบโตเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์”
หลังจบคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ครูอ้วนได้รับทุนไปเรียนการศึกษาวอลดอร์ฟ 2 ปีที่ Melbourne Rudolf Steiner School และได้ทำงานในโรงเรียนวอลดอร์ฟทั้งที่เมลเบิร์นและไทย ทำให้เข้าใจว่าการศึกษานี้ไม่ได้เน้นแค่ความรู้ แต่โอบอุ้มความเป็นมนุษย์ของเด็กอย่างอ่อนโยน
ในปี 2552–2553 ขณะเป็นผู้ประสานงานอบรมครูปฐมวัย ครูอ้วนได้พบกลุ่มผู้สนใจวอลดอร์ฟที่ขอนแก่น และริเริ่มบ้านเรียนบำบัดตามแนวมานุษยปรัชญา
เมื่อเห็นลูกและนักเรียนเติบโต ครูอ้วนมั่นใจว่า การศึกษาไม่ใช่แค่ห้องเรียน แต่คือพื้นที่ให้เด็กฝึกเจตจำนง เรียนรู้ และเติบโตในแบบของตัวเอง
วันนี้ ครูอ้วนยังทำงานด้วยหัวใจ เชื่อว่า สุขภาวะและเจตจำนงที่แข็งแรง คือรากฐานสำคัญของเยาวชนไทยในโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว — และการศึกษาเข้าใจชีวิตเด็กแต่ละคน คือกุญแจสู่การเปลี่ยนแปลงนั้น

อัฏฐพล กิตติพีพัฒน์
(ลุงตี๋)
ผู้จัดการการศูนย์การเรียนดุลยพัฒน์
ด้วยใจที่เชื่อมั่นในพลังของการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงชีวิต ลุงตี๋จึงเดินทางไปพร้อมกับครอบครัว เพื่อสร้างพื้นที่เรียนรู้ที่เต็มไปด้วยชีวิตและความหมาย
ลุงตี๋สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ (รัฐประศาสนศาสตร์) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบได้เริ่มทำงานในเครือบริษัทซีเมนต์ไทย และมีโอกาสเดินทางไปใช้ชีวิตกับครอบครัวที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ระหว่างปี พ.ศ. 2541–2543
เมื่อกลับมาประเทศไทย ได้ทำงานเป็นผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลที่บริษัทมินเซนแมชินเนอรี่ จำกัด จนกระทั่งครูอ้วน (หรือป้าอ้วน) ย้ายมาอยู่ที่ขอนแก่น ลุงตี๋จึงตามมาด้วย
ในฐานะคุณพ่อ ลุงตี๋ได้เฝ้ามองการเติบโตของลูกผ่านการศึกษาวอลดอร์ฟ ทั้งจากโรงเรียนที่เมลเบิร์นและโรงเรียนปัญโญทัย พร้อมกับซึมซับ เรียนรู้ และชื่นชมแนวทางการศึกษานี้ไปพร้อมกับลูก ๆ
การได้มาช่วยดูแลและบริหารโรงเรียนดุลยพัฒน์ เพื่อสร้าง "โรงเรียนที่มีชีวิต" ให้กับเด็ก ๆ ถือเป็นสิ่งที่มีความหมายอย่างลึกซึ้งในชีวิต เหมือนกับทุกเช้า…ที่เด็กอนุบาลตัวน้อย ๆ วิ่งเข้ามาทักทาย “ลุงตี๋” ด้วยรอยยิ้มและความอบอุ่นเสมอ

พิศสมร ทองสม
(ครูหมอน)
ครู
จากเด็กอักษรฯ จุฬาฯ สู่ผู้เดินทางตามหาความหมายของ “การศึกษา” ที่ไม่ใช่แค่ความรู้ แต่คือการเข้าใจ “ความเป็นมนุษย์”
ช่วงหนึ่งของชีวิต ครูหมอนได้ทำงานกับสถาบันศิลปวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนา (มายา) ใช้ละครเป็นเครื่องมือเชื่อมโยงใจเด็ก ๆ และเยาวชน พร้อมออกเดินทางฝึกอบรมครูทั่วประเทศ
จนวันหนึ่ง เมื่อเดินทางไปใช้ชีวิตในอเมริกา ได้พบกับแนวทางวอลดอร์ฟและการศึกษาบำบัด ที่ซึมลึกและงดงามเกินกว่าจะละสายตา จึงตัดสินใจเรียนรู้ต่ออย่างจริงจังที่วิทยาลัย Sun-bridge รัฐนิวยอร์ก และศึกษาหลักสูตร 5 ปีด้านการศึกษาบำบัดที่ Beaver Run รัฐเพนซิลเวเนีย ที่นั่น ครูหมอนได้อยู่ร่วมกับเด็กพิเศษ ใช้ชีวิต เรียนรู้ และมองเห็นพลังการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากความรัก ความเข้าใจ และการดูแลทั้งทางกาย ใจ และวิญญาณ
เมื่อเรียนจบ ครูหมอนตัดสินใจกลับมาเป็นครูวอลดอร์ฟ ณ ศูนย์การเรียนดุลยพัฒน์ จังหวัดขอนแก่น ตั้งแต่ปี 2557 และยังคงมอบความรัก ความเข้าใจ และการศึกษาอย่างมีชีวิตให้กับเด็ก ๆ เสมอมา.

อัญชนา สุนทรพิทักษ์
(ครูอุ๊)
ครูยูริธมี
เสียงเพลงและศิลปะ คือสายใยชีวิตที่นำครูอุ๊จากวัยเยาว์สู่หนทางของการเยียวยาและการเรียนรู้
ครูอุ๊เติบโตใกล้แม่น้ำเจ้าพระยาในครอบครัวที่รักเสียงดนตรี ครูอุ๊ (อัญชนา สุนทรพิทักษ์) ซึมซับศิลปะการแสดงตั้งแต่ยังเด็ก ก่อนจะเลือกเรียนภาพยนตร์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้วยความเชื่อว่าศิลปะทุกแขนงมีชีวิตอยู่ในภาพยนตร์
หลังจากทำงานในแวดวงรายการโทรทัศน์สำหรับเด็ก ความสนใจของเธอค่อย ๆ พาไปพบกับการศึกษาวอลดอร์ฟและ “ยูริธมี่” — ศิลปะการเคลื่อนไหวที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ในมิติที่ลึกซึ้งเกินคำพูด
เส้นทางการเรียนรู้ของครูอุ๊จึงพาเธอไปศึกษาด้านการศึกษาวอลดอร์ฟที่เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย และต่อด้วยยูริธมี่บำบัดที่อังกฤษและเยอรมนี ระหว่างนั้นเธอได้ทำงานกับเด็กพิเศษ ดูแลการเรียนรู้ทั้งในฐานะครูและผู้เยียวยา พร้อมทั้งร่วมเขียนหนังสือเพื่อส่งเสริมความเข้าใจต่อบุคคลพิเศษในสังคมไทย
วันนี้ ครูอุ๊เป็นนักยูริธมี่บำบัดอิสระ สอนยูริธมี่ที่โรงเรียนดุลยพัฒน์ และร่วมประสานงานเครือข่ายการศึกษาบำบัดในประเทศไทย ด้วยหัวใจที่ยังเชื่อมั่นว่า ศิลปะคือประตูสู่ความเข้าใจในตัวมนุษย์อย่างแท้จริง

นนทยา เตชะวงศ์
(ครูโอ๋)
ครู
จากบทกวีสู่นิทานชีวิต — เส้นทางของครูนนทยา เตชะวงศ์ กับการศึกษาที่หยั่งรากในหัวใจ
แม้จะเรียนจบด้านการตลาดจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ แต่ภายในใจของครูนนทยาเต็มไปด้วยคำถามที่วาบผ่านตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนว่า “สิ่งที่กำลังทำอยู่คือสิ่งที่อยากเป็นจริงหรือไม่” จนกระทั่งได้ก้าวเข้าสู่แวดวงสื่อสิ่งพิมพ์ ทำงานในตำแหน่งกองบรรณาธิการมากว่าสิบปี พร้อมพัฒนาตัวเองผ่านบทกวี การอ่าน และการเขียน—ทั้งหมดหล่อหลอมให้เธอแสวงหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ด้วยหัวใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
เมื่อย้ายมาอยู่จังหวัดขอนแก่นหลังแต่งงาน และเห็นลูกชายเติบโตงอกงามในโรงเรียนวอลดอร์ฟ ความศรัทธาต่อการศึกษาที่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ก็ยิ่งมั่นคง ครูนนทยาเริ่มจากการเป็นผู้ปกครองอาสา ก่อนจะก้าวเข้ามาเป็นครูเต็มตัว
ในบทบาทครู เธอได้รวมสิ่งที่รัก—วรรณกรรม บทกลอน การเขียนนิทาน—เข้ากับงานสร้างสรรค์การเรียนรู้ หวังเพียงให้เด็ก ๆ เติบโตทั้งทางกาย ใจ และเป็นมนุษย์ที่มีทั้งความรู้และความรักอยู่พร้อมในตน

แพรวภิญญ์
ภิญญ์ภูมิลักษณ์
(ป้าเป๊ก)
ครูปฐมวัย
จากสายธุรกิจสู่หัวใจของการศึกษา — เส้นทางใหม่ที่เปี่ยมความหมายของป้าเป้ก(ของเด็กๆอนุบาล)
หลังสำเร็จการศึกษาจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเอแบคในปี 2541 ป้าเป้กใช้เวลากว่าสิบปีในสายงานบริหาร ทั้งในองค์กรเอกชนและธุรกิจส่วนตัว เช่น โรงพยาบาลสัตว์ แต่เมื่อถึงจุดเปลี่ยนในปี 2558 ความใคร่ครวญถึงความหมายของชีวิตได้เปิดประตูใหม่—เมื่อโชคชะตานำพาให้รู้จักโรงเรียนดุลยพัฒน์และการศึกษาวอลดอร์ฟ
จากโลกของตัวเลขและการบริหาร ป้าเป้กตัดสินใจผันตัวมาเป็นครูปฐมวัย ด้วยหัวใจที่เชื่อมั่นว่าการดูแลช่วงเวลาเริ่มต้นของชีวิตมนุษย์คือการสร้างรากฐานสำคัญให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาวะ และมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม
ทุกวันของการเป็นครูคือการเรียนรู้ เด็ก ๆ เตือนให้ป้าเป้กกลับมารับฟัง เข้าใจ และใส่ใจพัฒนาการของพวกเขาผ่านจังหวะชีวิต ผัสสะ และธรรมชาติ ด้วยความตั้งใจจะเป็นแบบอย่างที่ดี และดูแลพวกเขาด้วยหัวใจในทุกวัน

พรรณราย โพธิ์ชัย
(ป้าจอย)
ครูปฐมวัย
ด้วยหัวใจที่อยากเห็นโลกอบอุ่นขึ้นจากการศึกษา
ป้าจอยสำเร็จการศึกษาจากคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และได้เริ่มต้นสัมผัสกับโลกของเด็ก ๆ ผ่านการเข้าร่วมโครงการสอนศิลปะตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา ประสบการณ์นั้นได้จุดประกายความรักในการทำงานกับเด็ก ซึ่งต่อมากลายเป็นโอกาสสำคัญเมื่อได้เริ่มทำงานที่โรงเรียนอนุบาลวอลดอร์ฟทันทีหลังเรียนจบ
สิ่งที่ตรึงใจป้าจอยเมื่อได้ก้าวเข้าสู่โลกของวอลดอร์ฟครั้งแรก คือความเป็นมิตรของผู้คน และความอบอุ่นของบรรยากาศ ยิ่งได้เรียนรู้แนวทางมนุษยปรัชญาผ่านการอบรมและการทำงาน ป้าจอยยิ่งมั่นใจว่า การศึกษานี้ไม่เพียงปลูกฝังเด็ก แต่ยังช่วยให้ผู้สอนเองได้เติบโตและค้นพบความหมายของชีวิตไปพร้อมกัน
เธอผ่านการอบรมครูปฐมวัยวอลดอร์ฟหลักสูตร 3 ปีจากสมาคมปฐมวัยวอลดอร์ฟนานาชาติ รวมถึงเข้าร่วมการอบรมต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
แรงบันดาลใจในการทำงานกับเด็กเล็กของป้าจอย มาจากความเชื่อมั่นว่า การแก้ปัญหาสังคมต้องเริ่มจากการศึกษา—การบ่มเพาะเด็กให้เติบโตอย่างสมดุล มีทั้งปัญญาและคุณธรรม และเหนือสิ่งอื่นใด คือการสร้างสังคมที่มีความรักและความปรารถนาดีต่อกันเป็นรากฐาน

วันชัย สอาดศรี
(ครูวันชัย)
ครู
ความมุ่งมันที่สม่ำเสมอ ก่อร่างเส้นทางที่ดำรงอยู่อย่างมีความหมาย
ในปี 2557 เส้นทางชีวิตของผมเปลี่ยนไปจากไร่ที่เพชรบูรณ์เมื่อได้เข้าร่วมอบรม IPMT (International Post Medical Training) ที่จันทบุรี โดยมีความสนใจในเกษตรชีวพลวัตร (Biodynamic Agriculture) ซึ่งนำพาผมเข้าสู่ชุมชนดุลยพัฒน์ และได้ทำงานเป็นครูผู้ช่วยอยู่ที่นี่เป็นเวลา 3 ปี
ต่อมาเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อพัฒนาความรู้ด้านเกษตรชีวพลวัตรและศึกษาศาสตร์ Spatial Dynamics ซึ่งน่าสนใจมาก หลังจากใช้ชีวิตที่นั่นครบ 3 ปี ผมตัดสินใจกลับเมืองไทยและกลับมาที่ดุลยพัฒน์อีกครั้ง พร้อมกับไปอบรม Spatial Dynamics กับคุณ Jaimen McMillan ที่ไต้หวัน เพื่อฝึกฝนทักษะเพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน ผมเป็นครูสอน Spatial Dynamics ให้เด็กที่ดุลยพัฒน์ โดยเน้นการบูรณาการประสาทสัมผัส การพบตัวเองในพื้นที่รอบตัว และการเสริมสมาธิ ผ่านการเคลื่อนไหวที่สร้างความสมดุลทั้งภายในและภายนอก
“สำหรับผม ดุลย์พัฒน์ ไม่ได้บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์เฉพาะเด็กๆเท่านั้นแต่ยังบ่มเพราะเมล็ดพันธุ์ แบบผมตัวผมไปด้วย ซึ่งผมก็ได้เรียนรู้ ได้ประสบการณ์ เติบโตไปพร้อมกับเด็กๆทุกคน ผมอยากให้ทุกคนมองว่า สถานที่แห่งนี้ เป็นชุมชน เป็นครอบครัว เป็นพื้นที่ ที่คอยเปิดกว้างให้เราได้เรียนรู้ มีประสบการณ์ แบ่งปัน ทักษะหรือสิ่งต่างๆที่เรามี และเติบโตไปด้วยกันครับ”

พิชชานันท์ สอนเย็น
(ครูอมยิ้ม)
ครู
ศิลปะคือภาษาของหัวใจ ที่ช่วยเปิดประตูให้เด็ก ๆ และตัวเราเองได้ค้นพบตัวเองอย่างอิสระและงดงาม
ครูอมยิ้มรักศิลปะมาตั้งแต่เด็ก ผ่านกิจกรรมศิลปะกับโรงเรียนและชุมชนหลากหลายที่ เติมเต็มหัวใจด้วยความสุขของการสร้างสรรค์ จบจากคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ สาขาทัศนศิลป์ เอกศิลปะไทย มหาวิทยาลัยศิลปากร ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 พร้อมทุนภูมิพล ครูอมยิ้มได้สอนศิลปะเด็กเล็กและพื้นฐานศิลปะสำหรับเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย รวมถึงได้ทำงานเป็นครูผู้ช่วยชั้นประถมที่โรงเรียนจอห์น ไวแอท มอนเตสซอรี กรุงเทพฯ เป็นเวลา 2 ปีด้วยหัวใจที่รักเด็กและศิลปะ
ในปี 2559 ครูอมยิ้มได้มีโอกาสเข้าร่วมอบรมทดสอบพลังชีวิต ตามแนวทางสบายสบายบำบัด (Kai Therapy) ณ บ้านเจ้าชายผัก ได้พบกับคุณนคร ลิมปคุปตถาวร ผู้มอบแรงบันดาลใจในมนุษยปรัชญาและการศึกษาวอลดอร์ฟ รวมถึงได้สัมผัสวิถีชีวิตเรียบง่ายแต่เต็มเปี่ยมด้วยความหมายของกลุ่มพ่อแม่ปัญโญทัย สิ่งเหล่านี้สร้างความประทับใจและเปลี่ยนแปลงความคิดของครูอมยิ้มอย่างลึกซึ้ง
จากนั้นครูอมยิ้มเริ่มเรียนรู้การศึกษาวอลดอร์ฟ ผ่านการอบรม “วอลดอร์ฟบนพื้นฐานมนุษยปรัชญา” โดยรัถยาคม ณ โรงเรียนปัญโญทัย ก่อนจะตัดสินใจร่วมเดินทางบนเส้นทางครูวอลดอร์ฟที่ศูนย์การเรียนดุลยพัฒน์ตั้งแต่ปี 2562 ปัจจุบันครูอมยิ้มสอนวิชาศิลปะและหัตถกรรมให้กับเด็ก ๆ ทั้งระดับประถมและมัธยม ด้วยความตั้งใจส่งต่อความรักและแรงบันดาลใจผ่านศิลปะในทุกวัน

ชวนากร จรดรัมย์
(ครูบูม)
ครู
เส้นทางที่เราเลือกเดิน คือบทเรียนที่ทำให้เราเติบโตและเติมเต็มความหมายในชีวิต
หลังจากเรียนจบปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ทำงานในบริษัทเอกชนจนกระทั่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่าย การงานในหน้าที่ก็สำคัญขณะที่ลูกสาวก็สำคัญและกำลังเติบโต แทบจะไม่ได้มีเวลาเห็นการเติบโตของลูกเลย
เหตุที่ได้มาเป็นครู เริ่มจากการที่ตนเองมีลูกและส่งลูกมาเรียนที่ดุลยพัฒน์ ได้เห็นถึงวิถีการดูแลเด็ก ๆ ของโรงเรียน การสอนที่ทำให้เด็กเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง เข้าใจสิ่งแวดล้อมรอบตัวผ่านตัวตนของเด็ก ๆ เอง และรู้ขอบเขตของตนเองตามพัฒนาการของเด็ก ๆ ในแต่วัย ทำให้เราได้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนหรือเป็นผู้ปกครองก็เป็นส่วนสำคัญในการดูแลลูกๆเช่นเดียวกัน เพราะทั้งเราเอง และโรงเรียนก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือให้การศึกษาแก่ลูกๆเพื่อให้เขาได้เติบโตเป็นคนดี และอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุข
ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่อยากจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการให้ความรู้กับเด็ก ๆ อยากให้เด็ก ๆในยุคปัจจุบันได้รับรู้คุณค่าในสิ่งรอบตัวและสามารถมองสิ่งต่าง ๆ ให้มีความสุขได้ “รู้ล้มรู้ลุก” ในสิ่งที่ตนเองได้ทำ

สาวิตรี ธงภักดิ์
(ครูผึ้ง)
ครู
การเรียนรู้ดนตรีอาจเริ่มต้นจากเสียง แต่จบลงที่การเข้าใจหัวใจของมนุษย์
ครูผึ้งเรียนจบปริญญาตรีด้านดนตรีและการแสดง แขนงดนตรีไทย และศึกษาต่อระดับปริญญาโทสาขาดุริยางคศิลป์ แขนงดนตรีวิทยา ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ระหว่างการเรียน ได้ทำงานอาสาเพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ญัฮกุรในจังหวัดชัยภูมิ และเริ่มต้นสอนดนตรีไทยให้กับเด็กและเยาวชน ตั้งแต่ระดับประถมถึงมัธยมปลาย ทั้งแบบกลุ่มและตัวต่อตัว
ประสบการณ์หนึ่งที่ยังฝังใจ คือการสอนเด็กคนหนึ่งที่เข้ามาเรียนเพื่อช่วยฟื้นฟูสมาธิและอารมณ์ โดยใช้เวลาร่วมกันถึง 6 ปี สิ่งที่เห็นไม่ใช่แค่พัฒนาการทางดนตรี แต่คือการเปลี่ยนแปลงของเด็กอย่างเป็นองค์รวม จนทำให้ครูผึ้งเชื่อว่า การเรียนรู้ที่แท้จริงคือพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เด็กเติบโตในแบบของตัวเอง
ครูผึ้งเริ่มรู้จักศูนย์การเรียนดุลยพัฒน์จากโอกาสสอนดนตรีไทยในปี 2562 แม้ตอนนั้นยังไม่รู้จักแนวทางวอลดอร์ฟ แต่กลับรู้สึกเชื่อมโยง และอยากร่วมทางด้วยกัน จนในเดือนมกราคม 2567 ได้เข้าร่วมงานอย่างเป็นทางการ
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ครูผึ้งได้เรียนรู้มากมาย ไม่ใช่แค่เรื่องของเด็ก แต่รวมถึงวิธีมองชีวิตอย่างอ่อนโยน เข้าใจตนเอง และให้ความรักกับสิ่งรอบตัวมากขึ้น ผ่านบทเพลง เสียงหัวเราะ และจังหวะชีวิตที่เต้นไปพร้อมกันในห้องเรียนเล็ก ๆ แห่งนี้

คนึงหา ใจเพียร
(ครูยิ้ม)
ครู
การเดินทางของการศึกษาไม่ใช่แค่การสอบแข่งขัน แต่คือการค้นพบความหมายที่แท้จริงของชีวิต
ครูคนึงหาเป็นเด็กต่างจังหวัดที่มีความฝันอยากเรียนต่อในมหาวิทยาลัยชื่อดังที่กรุงเทพฯ ด้วยความตั้งใจและความพยายามอย่างหนัก เธอเรียนพิเศษและแข่งขันอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้ตามความฝันนั้น เมื่อสอบติดคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตามที่ตั้งใจไว้ เธอก็เผชิญกับการแข่งขันในด้านการเรียนเช่นเดียวกับที่เคยผ่านมา จนเกิดคำถามลึก ๆ ในใจว่า “แท้จริงแล้ว การศึกษาคืออะไร? ทำไมต้องใช้การสอบแข่งขันเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในการศึกษา?”
หลังจากเรียนจบ ครูคนึงหาได้เดินทางไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทด้านการบัญชีที่มหาวิทยาลัย Central Queensland และใช้ชีวิตอยู่ในประเทศออสเตรเลียถึง 6 ปี
เมื่อมาถึงจุดเปลี่ยนในชีวิต ครูคนึงหาตัดสินใจกลับประเทศไทย และทำงานด้านการเงินระหว่างประเทศในบริษัทเอกชนเป็นเวลา 1 ปี ก่อนจะลาออกเพื่อดูแลลูกอย่างเต็มที่ ในช่วงเวลาที่ดูแลลูกที่จังหวัดขอนแก่น เธอพยายามค้นหาโรงเรียนที่สามารถตอบคำถามในใจที่เคยสงสัยมาตลอด จนได้พบกับศูนย์การเรียนดุลยพัฒน์ ซึ่งใช้หลักสูตรวอลดอร์ฟในการเรียนการสอน ที่นี่เองคือคำตอบที่ทำให้เธอได้เข้าใจความหมายของการศึกษาอย่างแท้จริง

กุลธิดา บุญตั้ง
(ครูพู่)
ครู
“หากมนุษย์เข้าใจสิ่งใดอย่างลึกซึ้ง เขาจะทำสิ่งนั้นออกมาได้ดีเสมอ”
ครูพู่เชื่อมาเสมอว่า การเรียนรู้จากชีวิตจริง คือบทเรียนที่สำคัญที่สุด และเคยเป็นนักเรียนที่ชอบลงมือทำ ชอบลองสิ่งใหม่ ๆ จนได้เรียนรู้ว่าการเข้าใจสิ่งใดจากภายในจะนำไปสู่การลงมือทำอย่างมีความหมาย
หลังจากจบการศึกษาปริญญาตรีสาขาสื่อสารมวลชน จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ความหวังในใจยังคงเดิม—ว่า “การศึกษาไทยควรเปลี่ยนแปลงได้มากกว่านี้” ควรเป็นการศึกษาที่สอดคล้องกับความเป็นมนุษย์แต่ละคน ไม่ใช่เพียงระบบเดียวที่ใช้กับทุกคน
จนกระทั่งวันหนึ่ง ได้รู้จักกับแนวทางการศึกษาวอลดอร์ฟ แม้ในช่วงแรกจะเข้าใจแค่เพียงผิวเผินว่า “นี่คือการศึกษาในอุดมคติ” แต่ด้วยความเป็นแม่ที่อยากดูแลลูกอย่างเข้าใจ ก็เริ่มสนใจแนวทางนี้อย่างจริงจัง จนได้กลายเป็นผู้ปกครองของศูนย์การเรียนดุลยพัฒน์ ที่นี่…ทุกอย่างดูสอดคล้องกับความเชื่อในใจทั้งเรื่องเด็ก การเติบโต และความเป็นมนุษย์
เมื่อเห็นพัฒนาการของลูกอย่างงดงามและเป็นธรรมชาติ ก็ยิ่งเชื่อมั่นในแนวทางนี้มากขึ้น จากผู้ปกครองที่สนใจมนุษยปรัชญาเพื่อการดูแลลูก ได้เติบโตสู่บทบาทของ “ครูประจำชั้น” ที่ตั้งใจดูแลเด็ก ๆ เสมือนลูกของตัวเอง
ครูพู่มีความเชื่อว่า หากมีความรักในสิ่งที่ทำ และมีความหวังต่อการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา เด็ก ๆ ก็จะสามารถเติบโตอย่างงดงามไปตามเมล็ดพันธุ์ที่ตนเป็นได้อย่างแท้จริง

สสิพงศ์ พลพาณิชย์
(ป้าอ๊อฟ)
ครู
“การอยู่กับเด็ก คือของขวัญที่พาเราได้กลับมาเข้าใจตัวเองอีกครั้ง”
ป้าอ๊อฟ(คำที่เด็กๆเรียก)เคยเรียนคณะนิเทศศาสตร์ที่กรุงเทพฯ ก่อนจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่ ทำให้ต้องกลับบ้านเกิดเพื่อช่วยธุรกิจครอบครัวด้านโฆษณา และเรียนต่อจนจบปริญญาตรีคณะรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
หลังจากเรียนจบ ป้าอ๊อฟแต่งงานและมีลูกชายหนึ่งคน ซึ่งกลายเป็นช่วงเวลาที่ได้ทำหน้าที่แม่อย่างเต็มเวลา เป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขและเรียบง่ายอย่างแท้จริง แม้เวลาจะผ่านไปและได้กลับเข้าสู่การทำงานประจำอีกครั้ง แต่ความทรงจำของการได้ดูแลลูกอย่างใกล้ชิดกลับยังคงอยู่ในหัวใจเสมอ
เมื่อมีโอกาสเข้ามาร่วมงานกับศูนย์การเรียนดุลยพัฒน์ ความสุขจากการได้ดูแลเด็ก ๆ ก็ได้กลับมาอีกครั้ง ที่นี่ไม่ใช่แค่ที่ทำงาน แต่เป็นพื้นที่แห่งการเติบโต ทั้งสำหรับเด็กและตัวป้าอ๊อฟเอง
ดุลยพัฒน์เปิดโอกาสให้ป้าอ๊อฟได้เรียนรู้และพัฒนาจิตใจอย่างลึกซึ้ง ผ่านการอบรมกับผู้เชี่ยวชาญทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงหลักสูตรต่อเนื่องอีก 3 ปี ซึ่งช่วยเปิดมุมมองใหม่ในการเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ โดยเฉพาะหัวใจเล็ก ๆ ของเด็กแต่ละคน
ทุกวันที่ได้อยู่กับเด็ก ๆ จึงไม่ใช่แค่ “การให้” แต่กลับเป็น “การได้รับ” อย่างลึกซึ้ง ความอบอุ่น ความมหัศจรรย์ และพลังชีวิตของเด็ก ๆ ทำให้ป้าอ๊อฟเห็นคุณค่าของการเติบโตจากภายใน
สิ่งที่ป้าอ๊อฟปรารถนาที่สุด คือการได้ดูแล ฟูมฟัก ให้เด็กแต่ละคนได้เติบโตอย่างแข็งแรง ทั้งร่างกายและจิตใจ ในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย งดงาม และสอดคล้องกับธรรมชาติของแต่ละคน—อย่างแท้จริง

Rachel Lao
English Teacher
“Education thrives when it is founded on truth, beauty, loving relationships and community.”
Rachel Lao จบการศึกษาด้านวิศวกรรมโยธาและมีประสบการณ์ทำงานด้านก่อสร้างถนนและทางวิ่งมากว่า 15 ปีในประเทศฟิลิปปินส์ ก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางชีวิต ด้วยความโหยหาวิถีชีวิตที่เรียบง่าย มีความหมาย และใกล้ชิดธรรมชาติ เธอจึงละทิ้งงานเดิมและเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนทางเลือกในฟิลิปปินส์
ความสนใจที่เพิ่มขึ้นในด้านการเกษตรแบบยั่งยืน การสร้างบ้านจากวัสดุธรรมชาติ สมาธิ จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ และการใช้ชีวิตในหมู่บ้านสิ่งแวดล้อม (ecovillage) ได้นำ Rachel มาสู่ Gaia Ashram ที่จังหวัดอุดรธานี ประเทศไทย ซึ่งเธอใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเกือบหนึ่งปีในปี 2018
ในปีถัดมา เธอตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย และได้เริ่มเส้นทางใหม่ในฐานะครูสอนภาษาอังกฤษ โดยจบหลักสูตร CMU-TEFL จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และได้คะแนน TOEIC ถึง 970 คะแนนในปีเดียวกัน จากนั้น เพื่อนคนหนึ่งได้แนะนำโรงเรียนดุลยพัฒน์ให้รู้จัก เธอจึงเริ่มต้นอาสาสมัครอยู่ที่นี่ และตกหลุมรักทั้งเด็ก ๆ ชุมชน และการศึกษาวอลดอร์ฟอย่างลึกซึ้ง จึงตัดสินใจอยู่ที่ดุลยพัฒน์มาจนถึงปัจจุบัน
Rachel เชื่อมั่นว่า “การศึกษาเบ่งบานได้ เมื่อมีรากฐานอยู่บนความจริง ความงาม ความรักในความสัมพันธ์ และการมีส่วนร่วมของชุมชน”

เพ็ญจุรี วีระธนาบุตร
(ครูเพ็ญ)
ครู
เราเชื่อว่าการศึกษาไม่ใช่แค่การเรียนรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่คือการเติบโตไปพร้อมกับความเป็นมนุษย์
ตั้งแต่เรียนจบ ป.ตรี ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล ครูเพ็ญก็ตั้งใจเลือกเส้นทางงานที่จะสร้างให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสังคม ได้เดินทางจัดกระบวนการเรียนรู้แนวทางจิตตปัญญาศึกษาร่วมกับอาจารย์และเพื่อน ๆ ในคณะ ทำงานอยู่ในภาคสังคมมาตลอด 10 กว่าปี จนเริ่มหันมาสนใจแนวทางมนุษยปรัชญา
ในช่วงอายุ 33 ปี และพบว่าการทำงานกับเด็ก ซึ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นของมนุษย์นั้นต้องการความเข้าใจที่ลึกซึ้งและมุมมองที่เห็นถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ครูเพ็ญจึงตัดสินใจทำงานในบทบาทของครูวิชา และตั้งใจพัฒนามุมมอง แนวคิด วิธีการเพื่อสนับสนุนพัฒนาการของเด็กให้เหมาะสมกับวัยไปพร้อมกัน

สาวิตรี สุขทอง
(ครูต้อม)
ครู
เพราะแต่ละคนล้วนมีเส้นทางเฉพาะตัว… จากวิศวกรสู่ผู้ร่วมดูแลและเติบโตไปพร้อมกับเด็ก ๆ
ครูต้อมจบวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และต่อโทด้านการจัดการทั่วไปที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เธอเคยทำงานด้านเอกสารราชการ และช่วยงานธุรกิจครอบครัวควบคู่กับการเป็นแม่เต็มเวลา
ในปี 2559 ขณะมองหาโรงเรียนให้ลูก ครูต้อมพบศูนย์การเรียนดุลยพัฒน์ และเริ่มสนใจการศึกษาทางเลือก จึงเข้ามาทำงานกับเด็กเล็กประมาณ 1 ปีครึ่ง ก่อนพักไปช่วยธุรกิจครอบครัว
เมื่อมีโอกาสอีกครั้ง เธอกลับมาสู่เส้นทางของครูอย่างเต็มตัว โดยเฉพาะในระดับเด็กโต ด้วยความเชื่อว่า การเติบโตของเด็กต้องการความเข้าใจ ความรัก และเวลาที่เหมาะสม

จุฑารัตน์ ศรีแก้ว
(ครูปอนด์)
ครู
หลังจบการศึกษาจากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็ได้กลับไปเป็นครูที่บ้านเกิดที่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนมอยู่ช่วงหนึ่ง
ต่อมาได้มีโอกาสไปศึกษาต่อและทำงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา มีประสบการณ์ในการทำงานกับเด็กมากกว่า 12 ปี
และในช่วงปีนี้ ก็ได้เดินทางกลับมาเมืองไทยพร้อมกับความตั้งใจที่จะเป็นครูผู้ให้การศึกษากับเด็ก ๆ
ครูปอนด์รู้สึกยินดี และรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมงานกับโรงเรียนวอลดอร์ฟ และลูกสาววัย ป.5 ก็จะได้เรียนในระบบการศึกษาวอลดอร์ฟที่ดุลยพัฒน์แห่งนี้ด้วย

พีรยศ สิงหปรีชา (ครูบอย)
ครู
©2025 www.dulyapat.org
ศูนย์การเรียนดุลยพัฒน์
144 หมู่ 11 ตำบลเมืองเก่า
อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
40000
dulyapatschool@gmail.com
โทร.081-754-3878